ความแตกต่างระหว่างโรคเอดส์และการติดเชื้อ HIV
หลายคนอาจยังเข้าใจผิด ๆ ว่า หากติดเชื้อ HIV แล้ว จะต้องป่วยเป็นโรคเอดส์โดยทันที ซึ่งในความเป็นจริง ทั้งสองภาวะนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนั้นในบทความนี้ เราจึงจะมาสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อการเฝ้าระวัง และหาทางป้องกันได้อย่างเหมาะสม
HIV กับเอดส์คืออะไร ต่างกันอย่างไร ?
- HIV หรือ Human Immunodeficiency Virus คือไวรัสที่ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลง ซึ่งการติดเชื้อเอชไอวี ไม่ได้หมายความว่าจะพัฒนาไปเป็นโรคเอดส์ในทันที เพราะหากผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้รับการรักษาที่เหมาะสม และดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ ก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเป็นปกติ
- AIDS หรือ Acquired Immunodeficiency Syndrome คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี เมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนไม่สามารถป้องกันโรคและการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคติดเชื้อแทรกซ้อน และโรคมะเร็งบางชนิด
เชื้อ HIV ติดต่อกันได้อย่างไร ?
การแพร่กระจายของเชื้อ HIV มีอยู่หลายสาเหตุ แต่ที่พบเป็นส่วนมาก คือ
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
- สัมผัสกับเลือด หรือน้ำเหลือง จากบาดแผลเปิดภายนอกผิวหนังของผู้ติดเชื้อเอชไอวี
- ใช้เข็มฉีดยา หรือกระบอกฉีดยาร่วมกันกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี
- ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก โดยสามารถเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอด หรือการให้นมบุตร
การติดเชื้อ HIV มีกี่ระยะ อาการเป็นอย่างไร ?
อาการของการติดเชื้อ HIV แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรกเริ่ม ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ และระยะอาการโรคเอดส์ ซึ่งจะแตกต่างกันออกไป ดังนี้
- ระยะที่ 1 ระยะแรกเริ่มของการติดเชื้อเอชไอวีจะมีอาการ เช่น ไข้ เจ็บคอ เวียนหัว คลื่นไส้ ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ ผื่นขึ้นบนผิวหนัง มีฝ้าขาวในช่องปาก ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดหัว และเหนื่อยล้า มักเกิดขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ และอาจคงอยู่นาน 1-2 สัปดาห์
- ระยะที่ 2 ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ (Clinical latent infection: Chronic HIV) เป็นช่วง 5-10 ปีหลังจากการติดเชื้อ โดยผู้ป่วยอาจดูเป็นปกติอยู่หลายปี ซึ่งบางรายอาจนานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป แต่เชื้อเอชไอวีจะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันอย่างช้า ๆ
- ระยะที่ 3 ระยะอาการโรคเอดส์ (Progression to AIDS) เช่น น้ำหนักลดอย่างรุนแรง เป็นไข้ เหนื่อยล้าเรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองโต โดยผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงติดเชื้อแทรกซ้อนได้ง่าย เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ และมะเร็งบางชนิด
PPE คือตุ่ม HIV บ่งบอกอาการของโรคเอดส์ใช่หรือไม่ ?
PPE (Pruritic Popular Eruption) เป็นตุ่มนูนแดงหรือตุ่มสีเนื้อ มีขนาดเล็กคล้ายตุ่มยุงกัด มีอาการคันมาก โดยคนส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็นตุ่มเอดส์หรือตุ่ม HIV แต่ในความเป็นจริง PPE เป็นการอักเสบของผิวหนัง ที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด อาจเกิดจากการถูกแมลงกัดต่อย การแพ้ยาบางชนิด ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเกิดจากการติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ ก็ได้
ดังนั้น ตุ่ม PPE จึงเป็นเพียงการแสดงอาการอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเอดส์ แต่ไม่สามารถนำมาเป็นอาการบ่งชี้ที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคเอดส์ได้ การจะวินิจฉัยว่าติดเชื้อเอชไอวี หรือเป็นโรคเอดส์หรือไม่ แพทย์จะดูจากผลเลือดและอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยเป็นหลัก
ด้วยเหตุนี้ การสังเกตคนเป็นเอดส์จากภายนอกจึงเป็นเรื่องยาก อีกทั้งเมื่อเห็นคนมีผื่นหรือตุ่มขึ้น ก็ไม่ควรด่วนสรุปว่าคนนั้นเป็นโรคเอดส์ แต่ควรให้คนที่มีตุ่มขึ้น รีบเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์อย่างเร่งด่วนเสียก่อน
การตรวจวินิจฉัย HIV มีวิธีอย่างไร ?
การตรวจวินิจฉัย HIV มีความสำคัญอย่างมากในการควบคุมโรค เพราะหากตรวจพบเชื้อเร็วและเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยยับยั้งไม่ให้โรคพัฒนาไปสู่ระยะเอดส์ได้ โดยแบ่งออกเป็น 3 วิธี คือ
- Antigen/Antibody Test คือการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาทั้งโปรตีนของเชื้อและภูมิต้านทานที่ร่างกายสร้างขึ้นมา โดยเป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุด สามารถตรวจพบเชื้อได้ตั้งแต่ช่วง 18-45 วันหลังการติดเชื้อ
- Anti-HIV Antibody Tests คือการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาภูมิต้านทานที่ร่างกายสร้างขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อเอชไอวีโดยตรง สามารถตรวจพบเชื้อได้ภายใน 23-90 วันหลังการติดเชื้อ
- Nucleic Acid Tests (NATs) คือการตรวจเลือดเพื่อหาสารพันธุกรรม (RNA) ของเชื้อไวรัส HIV ซึ่งสามารถตรวจพบเชื้อได้ภายใน 10-33 วันหลังการติดเชื้อ ซึ่งเป็นในระยะเริ่มแรก โดยเป็นวิธีที่ตรวจพบเชื้อได้เร็วที่สุด เมื่อเทียบกับการตรวจชนิดอื่น ๆ ที่ต้องรอให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันก่อน
อย่างไรก็ดี การเลือกวิธีตรวจขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ระยะเวลาที่สงสัยว่าติดเชื้อ ความต้องการรู้ผลเร่งด่วน และความพร้อมทางด้านงบประมาณ ทั้งนี้ แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้แนะนำวิธีการตรวจที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละบุคคล
การรักษา HIV มีวิธีอย่างไร ?
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา HIV ให้หายขาด แต่มีวิธีควบคุมไวรัสเพื่อป้องกันการลุกลามไปเป็นโรคเอดส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
- ใช้ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy: ART) เพื่อช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ซึ่งถ้าหากผู้ป่วยใช้ยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ปริมาณไวรัสในเลือดลดลงจนไม่สามารถตรวจพบได้ (Undetectable) จึงไม่สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ โดยเป็นไปตามแนวคิดที่ว่า “ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ Undetectable = Untransmittable (U=U)” หรือก็คือผู้ติดเชื้อที่กินยาต้านไวรัสเป็นอย่างดีจนตรวจไม่เจอเชื้อไวรัสในเลือดแล้ว จะไม่แพร่เชื้อให้กับใครได้
- ป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน ด้วยการดูแลรักษาสุขภาพอย่างเหมาะสม หากพบอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
แนวทางการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี
การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรตระหนัก โดยมีแนวทาง ดังนี้
- ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีคู่นอนหลายคน
- สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งขณะมีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบาดแผลของผู้อื่น
- ตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน
- ตรวจสุขภาพประจำปี
การเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างการติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ รวมถึงรู้จักวิธีป้องกันและการรักษาที่ถูกต้อง จะช่วยให้เราสามารถดูแลตัวเองและหลีกเลี่ยงการเกิดโรคได้ แต่สำหรับใครที่พบว่าตนเองมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชไอวี ควรรีบไปพบแพทย์และรับการตรวจทันที เพื่อรับการรักษาอย่างรวดเร็ว และป้องกันการพัฒนาสู่ระยะเอดส์ในอนาคต
สามารถนัดหมายแพทย์เพื่อรับการตรวจ HIV ได้แล้ววันนี้ ที่ ReadyCheckGo พร้อมรับคำแนะนำในการป้องกันตนเองจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยสามารถเลือกรับบริการได้ทั้งสาขาสีลม ทองหล่อ และสมุย หรือให้แพทย์ไปตรวจที่ที่พักของคุณเองได้ (เฉพาะในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง) พร้อมมีบริการเลือกตรวจโรคทางเพศสัมพันธ์แบบนิรนาม
ข้อมูลอ้างอิง
- โรคเอดส์ในเด็กและวัยรุ่น. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 จาก https://www.pidst.or.th/A731.html
- เอชไอวี (HIV). สืบค้นเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 จาก https://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=59
- ทำความรู้จักโรคติดเชื้อ HIV เอชไอวี. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 จาก https://www.rama.mahidol.ac.th/atrama/issue039/health-station
simple & private under medical standard
Express STDs
test & treat in Bangkok
No need to go to hospital, you can get
Then, receive your online results!
Prioritize privacy with our anonymous STD testing service.
Open to all with enthusiastic staff catering to diverse genders and ethnicities.
Silom branch
Near BTS Chong-nontri
Sukhumvit branch
BTS Thong-lo (Exit 3)
บทความที่น่าสนใจ
ซิฟิลิส รักษาหายได้ก่อนรุนแรง ปล่อยไว้อาจเสี่ยงเสียชีวิต
เมื่อมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน หรือเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เสี่ยงติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับยาเป๊ป (PEP) หรือยาป้องกัน HIV ฉุกเฉิน
เชื้อ HPV คืออะไร ? ทำไมจึงควรรักษาและป้องกันไว้แต่เนิ่น ๆ
เชื้อเอชพีวีมีหลายสายพันธุ์และหลากหลายชนิด และมีบางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูก ทั้งยังเป็นสาเหตุต้น ๆ ของการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยด้วย
เริมเกิดจากอะไร รู้เท่าทัน ป้องกัน รักษาอย่างตรงจุด
เริม (Herpes Simplex) มีอยู่ 2 ชนิดหลักคือ HSV-1 มักทำให้เกิดเริมที่ปาก และ HSV-2 มักทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศ เข้าใจสาเหตุ เพื่อป้องกันอย่างถูกวิธี
หนองใน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ต้องรักษาก่อนลุกลาม
โรคหนองใน ปล่อยเอาไว้ไม่รักษาอาจมีอาการแทรกซ้อนมากกว่าที่คิด ตั้งแต่มีบุตรยาก เป็นหมัน ไปจนถึงการติดเชื้อในกระแสเลือด นัดหมายแพทย์ก่อนสายไป
ความแตกต่างระหว่างโรคเอดส์และการติดเชื้อ HIV
หลายคนอาจเข้าใจว่า ผู้ติดเชื้อ HIV คือการป่วยเป็นโรคเอดส์ แต่จริง ๆ แล้วทั้ง 2 ภาวะนี้มีความแตกต่างกัน บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจ พร้อมวิธีป้องกันมาแนะนำ