Search
Close this search box.

มีเพศสัมพันธ์ไม่ใส่ถุงยาง
เสี่ยงติดโรคไหม ต้องทำอย่างไร ?

ถุงยางแตก ทำอย่างไร ไม่ให้ติดโรค

What should I do after unsafe sex?

Step 1: ป้องกันการติดเชื้อ HIV
หลังเสี่ยงติดโรค

รับยา PEP ยิ่งเร็วยิ่งลดโอกาสการติดเชื้อ HIV

ป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี: มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อรับประทานภายใน 72 ชั่วโมง หรือภายใน 3 วัน

Step 2: ตรวจโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ (STDs)

ตรวจสถานะการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
และวางแผนรักษาเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

ตรวจเอชไอวี, ตรวจซิฟิลิส, ไวรัสตับอักเสบซี, ไวรัสตับอักเสบบีและภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบี

Advance (STDs 11: Essential + ตรวจโรคหนองใน ), Premier (STDs 18: Advance+STDs อื่น ๆ อีก 7 โรค), Ultimate (STDs 47: Premier + ตรวจการติดเชื้อ HPV 29 สายพันธุ์)

Antibiotics can cure STDs after unsafe sex.

Step 3: การรักษา STDs ที่เหมาะสม

รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในระยะเริ่มแรก เพื่อลดปัญหาสุขภาพระยะยาว

สำหรับผู้ที่มีอาการหรือความเสี่ยงสูง สามารถตัดสินใจเลือกรับยาปฏิชีวนะได้เลย โดยไม่ต้องรอผลตรวจ จากนั้นรอสังเกตอาการเป็นเวลา 2 สัปดาห์

รับการรักษาเฉพาะโรคจากผลการตรวจ หรือในกรณีที่ได้รับ Broad-spectrum antibiotic แล้วยามีฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อ STDs ที่ตรวจพบ ไม่จำเป็นต้องรับยาเพิ่ม

Follow-up tests are crucial for detection of STDs.

Step 4: การตรวจซ้ำและติดตามผล

เพื่อยืนยันความถูกต้องของผลตรวจ STDs ที่สำคัญ

ตรวจ HIV ซ้ำอีกครั้งเมื่อครบ 1 เดือน/3 เดือน และ 6 เดือน, ตรวจซิฟิลิสซ้ำอีกครั้งเมื่อครบ 3 เดือน และ 6 เดือน, ตรวจไวรัสตับอักเสบบีและซีอีกครั้งเมื่อครบ 6 เดือน

ทำอย่างไรให้ปลอดภัยจากโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ ?
ลืมป้องกัน, ถุงยางแตก, มีอะไรกันไม่ใส่ถุงยาง,
ไม่ทราบสถานะคู่นอน, เสี่ยง HIV

ขั้นตอนการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการรักษา
วิธีกินยา PEP หลังถุงยางแตกหรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน

เหตุผลที่คุณควรรับยาเป๊ป (PEP) ?

การมีเพศสัมพันธ์ไม่ใส่ถุงยาง หรือถุงยางแตก ทำให้เสี่ยงติดเชื้อ HIV โรคร้ายที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันให้อ่อนแอลง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น หากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจพัฒนาเป็นโรคเอดส์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเสียหายอย่างรุนแรงและเป็นโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา

PEP สามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้ถึง 80-90% หากรับประทานภายใน 72 ชั่วโมง หลังจากการเสี่ยงติดเชื้อ ช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์, ลดปริมาณไวรัส และเพิ่มภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย

เหตุผลที่คุณควรตรวจโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ทุกครั้งหลังเสี่ยง ?

เสี่ยงมาตรวจเลย, ไม่ต้องรอให้อาการออก

ผู้ชายผู้หญิงที่มีความเสี่ยงต้องมาตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ตรวจ 4 Essential STDs

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ต้องตรวจหลังมีความเสี่ยง

เอชไอวี, ซิฟิลิส, ไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว  หากปล่อยไว้ไม่รีบรักษาอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต โดย HIV เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซิฟิลิสทำให้เกิดแผล/ตุ่มบนร่างกายอย่างเด่นชัดและอาจเป็นอันตรายต่อระบบอวัยวะที่สำคัญได้ในระยะยาว ในขณะที่ไวรัสตับอักเสบบีและซีทำให้เกิดการอักเสบของตับ และอาจพัฒนาเป็นโรคตับแข็งไปจนถึงมะเร็งตับได้

นัดหมาย

หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี

หนองในแท้/หนองในเทียม

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบมากที่สุด คิดเป็น 40-50%

STDs caused by a virus cannot be cured.

โรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่พบได้บ่อย

STDs อื่นๆ ที่ควรตรวจ

หนึ่งในโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ที่ทุกคนควรได้รับวัคซีนและตรวจเพื่อคัดกรองมะเร็ง

HPV: ต้นเหตุของหูดและมะเร็ง

ไวรัสเอสพีวี หรือ HPV ย่อมาจาก Human Papillomavirus เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดความผิดปกติ
บริเวณเซลล์เนื้อเยื่อ (tissue cell) ของมนุษย์ มีมากกว่าร้อยสายพันธุ์ทั้งอันตรายและไม่เป็น
อันตราย โดยสายพันธุ์ที่ 6 และ 11 จะก่อให้เกิดโรคหูดหงอนไก่ที่มีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ
ในขณะที่บางสายพันธุ์ อาจก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก, มะเร็งปากและลำคอ, มะเร็งทวารหนัก ฯลฯ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรค HPV

สะดวก เป็นส่วนตัว ให้บริการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญผู้มีประสบการณ์

ตรวจ รักษา และให้คำปรึกษา
โรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์

  • บริการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และรักษาภายใต้มาตรฐานทางการแพทย์
  • สะดวกและมีความเป็นส่วนตัว สามารถเลือกรับบริการที่คลินิกหรือที่ที่พักของคุณได้
  • ไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล รับผลตรวจพร้อมคำแนะนำฟรีทางออนไลน์!
  • มีบริการเลือกตรวจโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์แบบนิรนาม

สาขาสีลม

ใกล้ BTS ช่องนนทรี

สาขาทองหล่อ

บน BTS ทองหล่อ (ทางออก 3)

Samui branch

50 m. from Lutus Chaweng

At Home Service

BKK and surrounding provinces

Express testing and treatment of STDs in Bangkok.

คำถามที่พบบ่อย

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพระยะยาวได้หลายประการ ได้แก่:

  • เสี่ยงติดเชื้อหรือแพร่เชื้อเอชไอวี (HIV) มากยิ่งขึ้น
  • มีอาการปวดอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง
  • เกิดภาวะมีบุตรยากทั้งในผู้ชายและผู้หญิง
  • ตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • ระบบสืบพันธุ์อักเสบจนเกิดความเสียหายในระยะยาว
  • เสี่ยงเป็นโรคตับและมะเร็งตับ (จากไวรัสตับอักเสบบีและซี)
  • เสี่ยงต่อมะเร็งบางประเภทเพิ่มมากขึ้นจากเชื้อ HPV เช่น มะเร็งปากมดลูก, มะเร็งปากและลำคอ, มะเร็งทวารหนัก

PEP (Post-Exposure Prophylaxis) ถูกออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) หากเริ่มใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากการเสี่ยง อย่างไรก็ตาม PEP ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ จึงควรใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

สำหรับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ จำเป็นต้องมีการประเมินอาการและความเสี่ยงโดยผู้เชี่ยวชาญและการตรวจเพิ่มเติม ควรปรึกษาผู้ให้บริการด้านสุขภาพเสมอเพื่อรับการดูแลและตรวจโรค STDs ทุกครั้งหลังมีความเสี่ยง

ควรติดตามอาการและตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าผลจะไม่พบเชื้อ เนื่องจากโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์บางโรคมีช่วงระยะเวลา ที่ไม่สามารถตรวจพบเชื้อภายในร่างกายได้ (Window Period) แม้ว่าจะเกิดการติดเชื้อแล้ว ดังนั้นควรตรวจและติดตามโรคเหล่านี้ซ้ำเพื่อความแม่นยำสูงสุด

  • ตรวจ เอชไอวี (HIV): ซ้ำที่ 4 สัปดาห์, 3 เดือน และ 6 เดือน
  • ตรวจซิฟิลิส (Syphilis): ซ้ำที่ 3 เดือน และ 6 เดือน
  • ตรวจไวรัสตับอักเสบซีและบี (Hepatitis C and Hepatitis B): ซ้ำเมื่อครบ 6 เดือน

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะได้รับการตรวจและรักษา STDs แล้วก็ควรมีการป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์หรืองดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ไปก่อนจนกว่าจะตรวจและติดตามผลแล้วพบว่าไม่ติดเชื้ออย่างแน่นอน

PEP ย่อมาจาก Post-Exposure Prophylaxis เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงได้รับเชื้อไวรัส HIV เข้าสู่ร่างกาย จากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน (Unsafe sex), การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และอุบัติเหตุทางการแพทย์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อได้

ก่อนรับยาเป็ป (PEP) จำเป็นต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญและตรวจค่าตับค่าไต เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดควรรับประทานให้เร็วที่สุดหลังจากการเสี่ยงและต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอจนครบ 28 วัน ตามคำสั่งแพทย์ โดยไม่หยุดยาเอง

PrEP ย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis เป็นยาป้องกันการติดเชื้อไวรัส HIV สำหรับคนที่ไม่สามารถวางแผนการมีเพศสัมพันธ์หรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV เช่น มีคู่นอนหลายคนหรือมักใช้บริการทางเพศ, มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใส่ถุงยาง, ผู้ที่มักใช้สารเสพติดประเภทฉีดเข้าเส้นโดยใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า PrEP จะสามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้ แต่ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างอื่นได้ จึงไม่แนะนำให้กินยาแพร็พ (PrEP) แล้วไม่ใส่ถุงยางหรือไม่หลีกเลี่ยงการรับเชื้อจากทางอื่น

นอกจากนี้ การรับยา PrEP ที่ถูกต้องควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยง, ตรวจค่าตับค่าไต และตรวจเช็กสถานะการติดเชื้อ HIV เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อก่อนรับยา PrEP และค่าตับไตอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถรับยาได้ หลังจากได้รับยาแล้วจะต้องรับประทานยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยไม่หยุดยาเอง

เพื่อความปลอดภัยสูงสุด หากมีอาการคล้ายการติดโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ณ ตอนนั้นร่วมด้วย เพื่อเข้ารับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที

การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้รับการป้องกันนั้นมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ STDs หรือโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเชื้อ HIV หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เพื่อความปลอดภัยควรใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะหากไม่แน่ใจในคู่นอน

คลินิกโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์, สีลม I สะดวก เป็นส่วนตัว

บริการทั้งหมดที่เกี่ยวกับโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์

รายละเอียดการรับยา PEP และการตรวจ STDs เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

ดูราคาและรายละเอียดการตรวจโรคติดต่อทางเพสสัมพันธ์ต่าง ๆ

Shield Against HIV Risk

ดูรายละเอียดราคาและการรักษาโรติดต่อจากเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ

ดูรายละเอียดราคาและเรียนรู้เรื่อง HPV อันตรายอย่างไรพร้อมวิธีการป้องกัน

ตรวจสุขภาพทั่วไปภายในไม่กี่นาที, สะดวก เป็นส่วนตัว

บริการตรวจเลือดตามรายการตรวจ